เมนู

พรรณนาวงศ์พระปทุมุตตรพุทธเจ้าที่ 10



พระศาสนาของพระนารทพุทธเจ้าเป็นไปได้เก้าหมื่นปี ก็อันตรธาน.
กัปนั้นก็พินาศไป ต่อจากนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ไม่อุบัติในโลก ตลอด
อสงไขยแห่งกัปทั้งหลาย. ว่างพระพุทธเจ้า มีแสงสว่างที่ปราศจากพระพุทธเจ้า.
แต่นั้น เมื่อกัปและอสงไขยทั้งหลายล่วงไป ๆ ในกัปหนึ่ง ที่สุดแสนกัปนับแต่
กัปนี้ พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพิชิตมาร ปลงภาระ มีพระเมรุเป็น
สาระ ไม่มีสังสารวัฏ มีสัตว์เป็นสาระ ยอดเยี่ยมเหนือโลกทั้งปวง พระนาม
ว่า ปทุมุตตระ ก็อุบัติขึ้นในโลก. แม้พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลาย
บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต จุติจากดุสิตนั้นแล้ว ก็ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของ
พระนางสุชาดาเทวี ผู้เกิดในสกุลที่มีชื่อเสียง อัครมเหสีของ พระเจ้า-
อานันทะ ผู้ทำความบันเทิงจิตแก่ชนทั้งปวง กรุงหังสวดี. พระนาง-
สุชาดาเทวี
นั้น อันทวยเทพอารักขาแล้ว ถ้วนกำหนดทศมาส ก็ประสูติ
พระปทุมุตตรกุมาร ณ พระราชอุทยานหังสวดี. ในสมัยปฏิสนธิ และสมภพ
ก็มีปาฏิหาริย์ ดังกล่าวแล้วแต่หนหลัง.
ดังได้สดับมา ในสมัยพระราชกุมารพระองค์นั้น ทรงสมภพ ฝนดอก
ปทุมก็ตกลงมา. ด้วยเหตุนั้น ในวันเฉลิมพระนามพระกุมาร พระประยูรญาติ
ทั้งหลายจึงเฉลิมพระนามว่า ปทุมุตตรกุมาร. พระกุมารพระองค์นั้นทรง
ครองฆราวาสวิสัยหมื่นปี. พระองค์มีปราสาท 3 หลังเหมาะแก่ฤดูทั้งสาม ชื่อ
นรวาหนะ ยสวาหนะ และ วสวัตดี มีพระสนมนารีแสนสองหมื่นนาง มี
พระนางวสุทัตตาเทวี เป็นประมุข เมื่อ พระอุตตรกุมาร ผู้ยอดเยี่ยม
ด้วยพระคุณทุกอย่าง พระโอรสของพระนางวสุทัตตาเทวีทรงสมภพแล้ว

พระองค์ก็ทรงเห็นนิมิต 4 ทรงพระดำริจักเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ พอทรง
พระดำริเท่านั้นปราสาทที่ชื่อว่า วสวัตดี ก็ลอยขึ้นสู่อากาศ เหมือนจักรของ
ช่างหม้อไปทางท้องอัมพร เหมือนเทพวิมาน และเหมือนดวงจันทร์เพ็ญ ทำ
โพธิพฤกษ์ไว้ตรงกลางลงที่พื้นดิน เหมือนปราสาทที่กล่าวแล้ว ในการพรรณนา
วงศ์ของพระโสภิตพุทธเจ้า.
ได้ยินว่า พระมหาบุรุษเสด็จลงจากปราสาทนั้น ทรงห่มผ้ากาสายะ
อันเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์ ซึ่งเทวดาถวาย ทรงผนวชในปราสาทนั้นนั่น
เอง ส่วนปราสาทกลับมาตั้งอยู่ในที่ตั้งเดิมของตน. บริษัททุกคนที่ไปกับพระ-
มหาสัตว์ พากันบวช เว้นพวกสตรี. พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียร 7 วัน
พร้อมกับผู้บวชเหล่านั้น วันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาส ที่ ธิดารุจานันท-
เศรษฐี อุชเชนีนิคม ถวายแล้ว ทรงพักกลางวัน ณ สาลวัน เวลาเย็น
ทรงรับหญ้า 8 กำ ที่ สุมิตตะอาชีวก ถวาย เสด็จเข้าไปยังโพธิพฤกษ์ ชื่อ
ต้น สลละ ช้างน้าว ทรงทำประทักษิณโพธิพฤกษ์นั้น ทรงลาดสันถัตหญ้า
กว้าง 38 ศอก ทรงนั่งขัดสมาธิ อธิษฐานความเพียรมีองค์ 4 ทรงกำจัดกอง
กำลังมารพร้อมทั้งตัวมาร ยามที่ 1 ทรงระลึกได้บุพเพนิวาส. ยามที่ 2 ทรง
ชำระทิพยจักษุให้บริสุทธิ์, ยามที่ 3 ทรงพิจารณาปัจจยาการออกจากจตุตถฌาน
มีอานาปานัสสติเป็นอารมณ์ แล้วหยั่งลงในขันธ์ 5 ทรงเห็นลักษณะ 50 ถ้วน
ด้วยสามารถแห่งความเกิดขึ้นแล้วเสื่อมไป ทรงเจริญวิปัสสนาจนถึงโคตรภูญาณ
แทงตลอดพระพุทธคุณทั้งสิ้น ด้วยอริยมรรค ทรงเปล่งพระอุทานที่พระพุทธ-
เจ้าทุกพระองค์ประพฤติมาว่า อเนกชาติสํสารํ ฯ เป ฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา.
ได้ทราบว่า ครั้งนั้น ฝนดอกปทุมตกลงมา ประหนึ่งประดับทั่วภายในทั้งหมื่น
จักรวาล. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ต่อจากสมัยของพระนารทพุทธเจ้า พระสัมพุทธ-
เจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้เป็นยอดแห่งสัตว์สองเท้า
พระชินะผู้ไม่หวั่นไหว เปรียบดังสาครที่ไม่กระเพื่อม
ฉะนั้น.
พระพุทธเจ้าได้อุบัติในกัปใด กัปนั้นเป็นมัณฑ-
กัป หมู่ชนผู้สั่งสมกุศลไว้ ก็ได้เกิดในกัปนั้น.


แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาครูปโม ได้แก่ มีภาวะลึกล้ำเสมือน
สาคร. ในคำว่า มณฺฑกปฺโป วา โส อาสิ นี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 2
พระองค์อุบัติในกัปใด กัปนี้ชื่อว่า มัณฑกัป.
จริงอยู่

กัปมี 2

คือ สุญญกัป และอสุญญกัป บรรดากัปทั้งสอง
นั้น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระเจ้าจักรพรรดิ ย่อมไม่อุบัติใน
สุญญกัป เพราะฉะนั้นกัปนั้น จึงเรียกว่า สุญญกัป เพราะว่างเปล่าจากบุคคล
ผู้ที่คุณ.
อสุญญกัปนี้ 5 คือ สารกัป มัณฑกัป วรกัป สารมัณฑกัป
ภัททกัป.

ในอสุญญกัปนั้นกัปที่ประกอบด้วยสาระคือคุณ เรียกว่า สารกัป เพราะ
ปรากฏ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่พระองค์เดียว. ผู้กำเนิดคุณสาร ยังคุณสาร
ให้เกิด
ส่วนในกัปใด เกิดพระพุทธเจ้า 2 พระองค์ กัปนั้นเรียกว่า มัณฑกัป.
ในกัปใด เกิดพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ บรรดาพระพุทธเจ้าทั้ง 3
พระองค์นั้น พระองค์ที่ 1 พยากรณ์พระองค์ที่ 2 พระองค์ที่ 2 พยากรณ์
พระองค์ที่ 3. ในกัปนั้น มนุษย์ทั้งหลาย มีใจเบิกบาน ย่อมเลือก โดยปณิธานที่
คนปรารถนา เพราะฉะนั้น กัปนั้น จึงเรียกว่า วรกัป.